“ธรรมนัส” เดินหน้านโยบายนายกฯ “คิกออฟ” IGNITE THAILAND จุดประกายเกษตรไทย สู่ศูนย์กลางการเกษตรและอาหารของโลก พร้อมเดินเครื่องกระทรวงเกษตรฯ ยกระดับสู่การเพิ่มรายได้ 3 เท่า ภายใน 4 ปี

“ธรรมนัส” เดินหน้านโยบายนายกฯ “คิกออฟ” IGNITE THAILAND จุดประกายเกษตรไทย สู่ศูนย์กลางการเกษตรและอาหารของโลก พร้อมเดินเครื่องกระทรวงเกษตรฯ ยกระดับสู่การเพิ่มรายได้ 3 เท่า ภายใน 4 ปี

 

 

วันที่ 10 เมษายน 2567 เวลา 9.00 น. ณ ห้องแซฟไฟร์ 204-206 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็คฟอรั่ม เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อขับเคลื่อน IGNITE THAILAND “จุดประกายเกษตรไทย สู่ศูนย์กลางสินค้าเกษตรและอาหารของโลก” พร้อมปาฐกถาพิเศษ “ขับเคลื่อนภาคการเกษตรไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการเกษตรและอาหารของโลก”

 

 

ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า จากที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศวิสัยทัศน์ IGNITE THAILAND จุดพลัง รวมใจ ไทยต้องเป็นหนึ่ง โดย 1 ใน 8 วิสัยทัศน์ที่สำคัญ และถือเป็นรากฐานการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ คือ วิสัยทัศน์การเป็นศูนย์กลางการเกษตรและอาหารของโลก (Agriculture and Food Hub) แน่นอนว่า ประเทศไทยมีศักยภาพพร้อมในการเป็นศูนย์กลางการเกษตรและอาหารของโลก โดยรัฐบาลมีเป้าหมาย 2 ส่วนด้วยกัน ได้แก่ เป้าหมายด้านการเกษตร และ เป้าหมายด้านอาหาร

 

 

สำหรับเป้าหมายภาคการเกษตร รัฐบาลมีเป้าหมาย คือ “รายได้สุทธิ 3 เท่า ใน 4 ปี” และด้วยความพร้อมด้านศักยภาพและความอุดมสมบูรณ์ของประเทศ ที่มีข้อได้เปรียบหลายด้านทั้งด้านภูมิศาสตร์ และสภาพภูมิอากาศที่เหมาะสมสำหรับการผลิตสินค้าเกษตรหลากหลายชนิด ให้ผลผลิตตลอดทั้งปี เชื่อมั่นว่า สามารถทำได้แน่นอน ซึ่งเห็นได้จากผลสำเร็จ ตัวอย่างเช่น สินค้าเกษตรที่ราคาดี ไม่ว่าจะเป็นยางพารา ข้าว ส่วนหนึ่งมาจากการที่เจ้าหน้าที่รัฐช่วยกันกำกับดูแลสินค้าลักลอบผิดกฎหมาย และในอนาคตระยะต่อไป นอกจากราคาดีแล้ว ผลผลิตจะต้องดีด้วย ซึ่งจะเกิดจากการที่เรามีการทำเกษตรแม่นยำ นำเทคโนโลยีมาใช้ เช่น การตรวจดิน การใช้ปุ๋ยอย่างเหมาะสม และใช้พันธ์พืชที่ได้รับการพัฒนาต่อยอดงานวิจัย รวมไปถึงแหล่งแหล่งน้ำ ต้องมีพื้นที่ชลประทานมากขึ้น ระบบบริหารจัดการน้ำที่ดี แก้ปัญหาอุกทภัยและภัยแล้ง มีการบริหารระบบตลาดสินค้าการเกษตรอย่างครบวงจร มีโครงสร้างพื้นฐานด้านการเกษตรที่เหมาะสม และการแก้ปัญหา PM2.5 ที่เกิดขึ้นจากภาคการเกษตร

 

 

ขณะที่ เป้าหมายด้านอาหาร ประเทศไทยเราอุดมสมบูรณ์ มีวัตถุดิบสินค้าการเกษตรที่ดีมากมายเป็นวัตถุดิบชั้นเลิศ เรามีอาหารที่มีชื่อประเทศเป็นชื่อ “ผัด ไทย” มี Story ที่จะยกระดับได้อีกมากมายหลายชนิด อาทิ ร่วมกับ Micheline Guide และการขยายตัวของร้านอาหารไทยไปทั่วโลก และนอกจากอาหารทั่วไปแล้ว ไทยเรายังสามารถสร้าง “ตลาดใหม่” ผ่านนวัตกรรมด้านอาหารได้ ไม่ว่าจะเป็นการผลิตอาหารเพื่อสุขภาพ อาหารทางการแพทย์ อาหาร Plant-based อุตสาหกรรมที่เติบโตต่อเนื่อง ซึ่งเชื่อมั่นว่า ประเทศไทยเรามีความพร้อมในศักยภาพอย่างเต็มที่สมดังคำกล่าว “ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว” และเป้าหมายที่สำคัญ นั่นคือ “ในกระเป๋าต้องมีเงิน”

 

สำหรับการขับเคลื่อนภาคการเกษตรไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการเกษตรและอาหารของโลกว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีความพร้อมที่จะขับเคลื่อนให้บรรลุเป้าหมาย ในการสร้างรายได้เพิ่มเป็น 3 เท่า ใน 4 ปี ด้วย 9 นโยบายสำคัญ ได้แก่ 1) การจัดที่ดินทำกินให้เกษตรกร 2) การจัดทำข้อมูลเกษตรกร แปลงเกษตรกรในระบบดิจิทัล และการประกันภัยพืชผล 3) การส่งเสริมฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของดิน 4) การบริหารจัดการน้ำ 5) การผลักดันสินค้าเกษตรมูลค่าสูง 6) การส่งเสริมให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรมีความเข้มแข็ง 7) การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงเกษตร 8) การเปลี่ยนแปลงสภาวะสิ่งแวดล้อม และ 9) การทำงานและการวิจัยภายใต้กรอบความร่วมมือต่างๆ

 

 

การจุดประกายให้ประเทศไทยเป็น Hub การเกษตรและอาหารของโลก จำเป็นต้องยกระดับการขับเคลื่อนทั้งในด้านการผลิต และการตลาด ซึ่งในส่วนที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คือด้านการผลิต (Supply-side) ต้องขับเคลื่อนกลไกสำคัญ (Engine) ซึ่งเป็นหัวใจของภาคการผลิต คือ 1) การยกระดับสินค้าเกษตร และ 2) มาตรการเสริมแกร่งให้กับเกษตรกรและคนในภาคการเกษตร สำหรับการยกระดับสินค้าเกษตรสู่การเพิ่มรายได้ สามารถแบ่งกลุ่มสินค้าเป้าหมายหลักๆ ได้เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มสินค้าเกษตรที่มีการผลิตมากกว่าความต้องการของตลาด ได้แก่ ข้าว ปาล์มน้ำมัน ยางพารา โคเนื้อ ไก่เนื้อ และกุ้ง และกลุ่มสินค้าเกษตรที่ผลิตน้อยกว่าความต้องการ ได้แก่ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง กาแฟ ทุเรียน และถั่วเหลือง โดยในแต่ละสินค้ามีความหลากหลายในแต่ละมิติต่างกันไป ขณะที่มาตรการเสริมแกร่งให้กับเกษตรกรและคนในภาคการเกษตรเป็นความตั้งใจของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่จะต้องเสริมความแข็งแกร่งให้กับพี่น้องเกษตรกร เช่น มาตรการการวางระบบสวัสดิการที่เหมาะสมหรือแนวทางการยกระดับความเป็นอยู่ของพี่น้องเกษตรกร ไม่ว่าจะเป็นระบบประกันภัยภาคการผลิต การริเริ่มสวัสดิการให้กับเกษตรกร การส่งเสริมให้เกษตรกรเป็นผู้ให้บริการทางการเกษตร รวมถึงการสนับสนุนปัจจัยการผลิต ทั้งพันธุ์ ดิน ปุ๋ย การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมการเกษตร การเพิ่มพื้นที่ชลประทาน ตลอดจนการสนับสนุนการผลิตแบบมีเงื่อนไขเพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับอาชีพเกษตรกรรม เป็นต้น

 

การสัมมนาครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะจุดประกายให้กับทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา เกษตรกร Smart Farmer และ Young Smart Farmer ที่เป็นกำลังสำคัญของภาคการเกษตรเข้ามาร่วมกันแสดงพลัง และมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนให้ไทยเป็นศูนย์กลางการเกษตรและอาหารของโลก กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมที่จะขับเคลื่อนและร่วมกับทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นทางสำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่จะนำไปเชื่อมโยงด้านการตลาด (Demand-side) โดยมีกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมดำเนินการ ทั้งนี้ เพื่อผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการเกษตรและอาหาร ที่สำคัญพี่น้องเกษตรกรและคนในภาคการเกษตรจะต้องมีเงินในกระเป๋าเพิ่มขึ้น มีรายได้เพิ่มขึ้น 3 เท่า ภายใน 4 ปี ซึ่งเป็นเป้าหมายที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะผลักดันให้สำเร็จตามนโยบายของรัฐบาลที่กำหนดไว้

 

#ธรรมนัสพรหมเผ่า #รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ #การสัมมนาเชิงปฏิบัติการ #IGNITETHAILAND #ขับเคลื่อนภาคการเกษตรไทย #ศูนย์กลางการเกษตรและอาหารของโลก #กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ #ข่าวเกษตร #ข่าวการเมือง #MissionThailand

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Next Post

"นฤมล" เผย "สภาพัฒนาการค้าฮ่องกง" ให้ความสนใจลงทุนผ่าน "Green Fund" ของไทย พร้อม สนับสนุน SoftPower สินค้าไทยอย่างต่อเนื่อง

“นฤมล” เผย “สภาพัฒนาการค้าฮ่องกง […]

You May Like

Subscribe US Now