“เศรษฐา” เน้น “ขยายโอกาสให้คนไทย-ประเทศ มีอนาคตที่ดี” ย้ำ “ต้องกล้าทำแลนด์บริจด์เหมือนสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ” เผย ข่าวดีลงนาม “ฟรีวีซ่าไทย-จีน 26 ม.ค.นี้” ด้าน “การเกษตร” มองการสร้างโอกาสเป็นเรื่องสำคัญ

 

เศรษฐา” เน้น “ขยายโอกาสให้คนไทย-ประเทศ มีอนาคตที่ดี” ย้ำ “ต้องกล้าทำแลนด์บริจด์เหมือนสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ” เผย ข่าวดีลงนาม “ฟรีวีซ่าไทย-จีน 26 ม.ค.นี้” ด้าน “การเกษตร” มองการสร้างโอกาสเป็นเรื่องสำคัญ

 

วันที่ 24 ม.ค.2567 ที่โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ ถนนรางน้ำ เขตราชเทวี กรุงเทพฯ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษในงานสัมมนา “Thailand 2024 The Great Challenge เพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย ขยายโอกาส” โดยกล่าวว่า วันนี้ขอเน้นการขยายโอกาสให้กับคนไทยว่าอีก 4 ปีข้างหน้าจะเห็นอะไรบ้าง อย่างน้อยได้เริ่มต้นโครงการเพื่อที่จะสานต่อส่งต่ออนาคตที่ดีกว่าของลูกหลาน ซึ่งการสร้างโอกาส คือ การลงทุนไม่อยากให้อีก 20-30 ปีข้างหน้ามาพูดว่า “รู้งี้ เราน่าจะทำอย่างนั้นอย่างนี้” ถ้าเราจะต้องคอยให้ทุกอย่างครบหมดหรือรอบรู้หมด ก็จะต้องมีค่าใช้จ่ายและต้นทุนที่สูงขึ้น ซึ่งก็ทำให้เราเสียโอกาส

 

สำหรับเรื่องปากท้องเศรษฐกิจ ตนไม่อยากพูดซ้ำ ว่าตลอด 4 เดือนกว่าที่ผ่านมารัฐบาลได้ทำอะไรไปบ้าง แต่ขอพูดถึงการไป “World Economic Forum” หรือ WEF ที่ดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นการรวมตัวของผู้นำประเทศทั่วโลก และนักธุรกิจชั้นนำในทุกภาคส่วน ซึ่งประเทศไทยไม่เคยมีผู้นำรัฐบาลไปมาในช่วง 12 ปีที่ผ่านมา โดยได้พบปะผู้นำภาคธุรกิจต่างๆ ผู้นำองค์กรที่มีชื่อเสียงระดับโลก

 

โดยประเด็นสำคัญคงหนีไม่พ้น “โครงการแลนด์บริจด์” ที่มีทั้งผู้เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แต่ยืนยันว่ารัฐบาลนี้จะรับฟังทุกข้อท้วงติง และต้องมีการทำการศึกษาอย่างเป็นธรรม ซึ่งจากกาาพูดคุยมีนักลงทุน ทั้งจากอินเดียหรือดูไบ สนใจและพร้อมมาพูดคุย มาดูสถานที่จริง

 

นอกจากนี้ยังมีเรื่องของ FTA หรือ การทำสนธิสัญญาการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งเราล้าหลังคู่แข่งคนสำคัญคือเวียดนาม ถ้าเราได้ลงนาม FTA กับอียู ก็จะสร้างความมั่นใจและดึงนักลงทุนกลับมา ทั้งนี้ ไม่แปลกใจที่หลายคนพูดถึงการทำธุรกิจของไทย รวมถึงปัญหาที่เกิดขึ้น ทั้ง FTA เพราะมีขั้นตอนจำนวนมากในการดำเนินธุรกิจ อย่างสวิตเซอร์แลนด์ เป็นประเทศที่มีการทำผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับยารักษาโลกจำนวนมาก และอยากให้ไทยเป็นตลาดสินค้า แต่การนำเข้ามาในแต่ละครั้งก็เป็นเรื่องที่ยาก กว่าจะผ่านขั้นตอนจาก อย. ซึ่งตนก็จะไปดูให้ว่ามีบางผลิตภัณฑ์ไหนที่สามารถลดทอนขั้นตอนได้บ้าง ถือเป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องให้ความสำคัญ

 

 

สำหรับปีหน้า ตนจะไปร่วมประชุม WEF อีกแน่นอน และจะไปให้ยิ่งใหญ่ โดยมีรัฐมนตรีหลายคนไปด้วย ถ้ามีการวางแผนให้มีการพบปะและร่วมพูดคุยได้ในหลายคณะ เชื่อว่าจะสร้างความเชื่อมั่นให้ไทยเป็นที่น่าสนใจอย่างแน่นอน

 

ส่วนนโยบายหลักของประเทศไทย คือ “การท่องเที่ยว” ซึ่งมีหลายมิติที่เกี่ยวข้อง อะไรทำได้ทำก่อนหรือ “ควิกวิน” อย่างนโยบาย “วีซ่าฟรี” ก็เริ่มไปที่หลายประเทศ ซึ่งเย็นวันนี้จะมีรัฐมนตรีต่างประเทศของจีนมาพูดคุย ก่อจะมีการลงนามร่วมกัน ให้เป็นการถาวร ซึ่ง วีซ่าฟรีทั้ง 2 ประเทศ ถือว่ายกระดับพาสปอร์ตไทยขึ้นมาอีกระดับ นอกจากนี้ ตนได้เจอประธานอียู กับนายกฯ เบลเยี่ยม แล้วก็มีการพูดถึง “วีซ่าเชงเก้ง” ด้วย อยากให้เข้าออกฟรีได้เช่นกัน

 

พร้อมกันนี้ นายเศรษฐา ได้หยิบยก “สนามบินหนองงูเห่า” หรือ “สนามบินสุวรรณภูมิ” มาเปรียบเทียบ กับ “โครงการแลนด์บริจด์” ว่า ถ้าไม่กล้าสร้างกล้าลงทุนเมื่อกว่า 20 ปี ทุกวันนี้ถ้าต้องพึ่งสนามบินดอนเมืองสนามบินเดียว จะเป็นอย่างไร การมีรัฐบาลที่เห็นโอกาส ต้องลงมือทำด้วย การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานแบบนี้ก็ต้องพูดคุยกันในทุกมิติให้ดี เรื่องของโอกาสเป็นสิ่งสำคัญ ไม่อยากให้เสียโอกาสอีก

 

ซึ่งโครงการแลนด์บริจด์ เราพอรู้รายละเอียดคร่าวๆ แต่การจะใช้งบลงทุนให้น้อยที่สุด ให้คนอื่นมาลงทุนด้วย เราไม่ใช่แค่ฟังความเห็นของประชาชน แต่ต้องฟังผู้ลงทุนด้วยว่าอยากได้อะไร ก็เป็นหน้าที่รัฐบาลที่ต้องกลั่นกรอง ว่าสิ่งที่เขาขอมาเป็นบวกหรือลบมากกว่ากับประชาชน เพราะยังไม่รู้ว่าต้องมีส่งท่อน้ำมันหรือไม่ แต่เราก็เปิดกว้างว่าอาจเป็นหนึ่งในธุรกิจที่อยากให้เขามาลงทุน ตั้งแต่ต้นน้ำไปถึงปลายน้ำ มีการสร้างโรงงานต่างๆ จะได้ดีไซน์ให้ถูก แต่เรื่องนี้ยังต้องต้องใช้เวลาอย่างน้อย 10 กว่าปีคงจะเสร็จหมด จึงอยากให้มองไปข้างหน้าเหมือนกับสนามบินสุวรรณภูมิ

 

พร้อมย้ำจุดยืนทั้งการต่างประเทศของไทย ว่าเป็นกลางตลอด ไม่ขัดแย้งกับประเทศใด ไม่ว่าจะมหาอำนาจระหว่างสหรัฐฯกับจีน หรือ อินเดียที่กำลังขยับมาเป็นมหาอำนาจอีกประเทศ เพราะเชื่อว่าโครงการเมกะโปรเจกต์ต่างๆที่จะทำขึ้นมา ต้องแสดงจุดยืนให้ชัดเจนว่าเป็นมิตรกับทุกประเทศ และยินดีร่วมทำธุรกรรมกับหลายประเทศ การที่เรามีโครงสร้างพื้นฐานใหญ่ ก็สามารถสร้างอำนาจการต่อรองให้กับทุกประเทศ ตราบใดที่เรายังเป็นคนคอนโทรลโครงการนี้ ทุกประเทศก็อยากเข้ามา

 

 

สำหรับยาเสพติด ถือเป็นปัญหาใหญ่ และบั่นทอนสังคมไทยมายาวนาน โดยไตรมาส 4 ของปี 2566 จับ “ยาบ้า” ได้มากกว่าปี 2565 ทั้งปี แต่จับได้เยอะขนาดนี้ราคาก็ยังไม่เพิ่มขึ้น แสดงว่าเข้ามาเยอะ ซึ่งชัดเจนว่ามาจาก “เมียนมาร์” เพราะมีปัญหาการเมืองภายในที่ต้องการเงิน วิธีง่ายๆคือ ยาเสพติด ที่แบ็คแพคเข้ามาตามช่องทางต่างๆ การที่ตนไปภาคเหนือหลายครั้ง ไปพูดคุยกับฝ่ายมั่นคงก็ได้รับความร่วมมือดีมากในการตรวจจับ ไม่ว่าจะใช้เทคโนโลยีโดรน cctv ก็จับได้มาก จนเริ่มลดลง แต่ข่าวร้าย คือตอนนี้ก็ไปโผล่ที่กาญจนบุรี ดังนั้น เรื่องนี้ต้องมีการบริหารจัดการทั้งหมด ทั้งเผายาให้เร็วขึ้น ใช้กฎหมายยึดทรัพย์ต่างๆ แต่สิ่งสำคัญเราต้องใส่ใจ เพราะถ้าสถาบันครอบครัวแข็งแรง และทำให้ผู้ซื้อเป็นผู้ป่วยแทน นำมาอบรมสร้างอาชีพ คืนสู่อ้อมกอดพ่อแม่ และมีการติดตามอย่างใกล้ชิด ก็เชื่อว่าสังคมไทยจะดีขึ้น โดยไม่ทำลายโอกาสของเยาวชนไทยที่ประสบปัญหาเกี่ยวกับยาเสพติด

 

สำหรับเรื่องของ “E-gorvernment” ก็ถือว่าสำคัญ ปัจจุบันเรามีเอกสารที่มากขึ้น ทำให้การดูแลประชาชนมีปัญหา เสียเวลาและเสียโอกาสในการเดินทางไปสถานที่ราชการ ที่ต้องรอหลายๆชั่วโมง ดังนั้นหากใช้เทคโนโลยี และ Cloud เข้ามาพัฒนาภาครัฐ เชื่อว่าจะสามารถช่วยร่นระยะเวลาในการดำเนินเอกสารให้ผู้ประกอบการ และดูแลทุกบาททุกสตางค์ที่เป็นเงินภาษีของประชาชนได้

 

ส่วนเรื่องของพลังงานสะอาด ก็เป็นจุดแข็งของประเทศไทย เพราะเราทำได้ดี มีเอกชนไทยที่แข็งแกร่ง และหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องก็ทำได้ดี ประเทศไทยมีพลังงานไฟฟ้าที่มาจากเขื่อน แต่ใครจะรู้บ้างว่าเขื่อนเป็นกำลังสำคัญที่จะสร้างพลังงานสะอาด เพราะสามารถสร้าง Floating solar ขึ้นมาเหนือเขื่อนได้ จึงเป็นเรื่องดี เพราะเราจะได้เปรียบคู่แข่งต่างชาติอย่าง เวียดนาม และอินโดนีเซีย ขณะเดียวกันเราก็จะพยายามทำราคาค่าไฟฟ้าให้ดีด้วย เพื่อดึงดูดนักลงทุนเข้ามาในประเทศ

 

ส่วนเรื่อง “การเกษตร” มองว่า การสร้างโอกาสเป็นเรื่องสำคัญ จึงพยายามให้องค์ความรู้ต่างๆ เพื่อสนองต่อนโยบายสร้างรายได้ให้เกษตรกรเพิ่มขึ้น ภายในระยะเวลา 4 ปี ที่ผ่านมาจึงได้เชิญนักธุรกิจที่เล่าเรียนในหลักสูตรต่างๆ ที่รู้จักลงพื้นที่ในต่างจังหวัดด้วย เพราะอยากให้ไปดูโครงการพระราชดำริฯ ว่าทำกันอย่างไร โดยย้ำไปว่าไม่ต้องการเงิน แต่ต้องการความรัก ความเอาใจใส่ดูแล เนื่องจากการซื้อสินค้าเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือ แต่การให้เขามีโอกาสในการนำสินค้าไปขายในต่างประเทศสำคัญกว่า ช่วยลดช่องว่างในความเหลื่อมล้ำ ระหว่างคนที่มีและไม่มี จึงได้พาครอบครัว “จิราธิวัฒน์” ไปด้วย เพราะเขามีธุรกิจในต่างประเทศ จึงอยากพาทุกคนไปดูแววตาของคนที่มีความฝันที่อยากจะได้โอกาส ทุกหน่วยงานทั้ง “กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์” จึงมีส่วนร่วมในการผลักดันจนทำให้ทุกวันนี้ “ราคายาง อ้อย” มีราคาสูงขึ้นแล้ว

 

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่ายังมีความท้าทายอีกหลายเรื่องที่ยังไม่ได้พูด อาทิ รัฐธรรมนูญ สิทธิในการเลือกเพศสภาพ สิทธิในการประกอบอาชีพ แต่ถึงแม้จะไม่ได้พูด ก็ยืนยันว่ารัฐบาลให้ความสำคัญอย่างยิ่งและรับฟังทุกเสียง แต่เราเป็นรัฐบาลผสมจึงต้องมีการพูดคุยกันเยอะ ดังนั้น หากรัฐบาลช่วยสร้างโอกาส สร้างฐานรากที่ดีประเทศไทยก็จะสามารถต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลง ต่อสู่กับประเทศเพื่อนบ้าน และมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นได้แน่นอน “ซึ่งเรามีความตั้งใจจริงในการส่งต่ออนาคตที่ดีกว่าให้กับลูกหลานคนไทยทุกคน”

#นายกเศรษฐา
#SmartNews

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Next Post

นฤมล" หารือ "รมช.พาณิชย์จีน" ย้ำความสัมพันธ์ด้านการค้า "ไทย-จีน" ด้าน "รมช.พาณิชย์จีน" ยืนยัน "พร้อมสนับสนุนสินค้าการเกษตรไทย" อย่างต่อเนื่อง

“นฤมล” หารือ “รมช.พาณิชย์จีน&#82 […]

You May Like

Subscribe US Now